ศูนย์วิเคราะห์ฯ ทิสโก้ คาดการหุ้นโลกอาจย่อตัวระยะสั้น คล้ายช่วงวิกฤตซับไพรม์ แนะอาศัยจังหวะช้อนซื้อหุ้นจีน เพราะราคาหุ้นยังถูกรับกำไรโต
ศูนย์วิเคราะห์ เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ คาดหุ้นทั่วโลกอาจย่อตัวระยะสั้น คล้ายวิกฤตซับไพรม์หลังเศรษฐกิจเริ่มโตแผ่ว แรงเก็งกำไรในตลาดหุ้นเริ่มสูง แต่ระยะยาวยังมีปัจจัยหนุนจากนโยบายการเงินผ่อนคลาย กระจายวัคซีนคืบหน้า แนะจับจังหวะเข้าซื้อหุ้นจีน เพราะราคาหุ้นถูก และกำไรโตดี
นายคมศร ประกอบผล ผู้อำนวยการอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr.Komsorn Prakobphol, Head of Economic Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit : TISCO ESU) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากจุดต่ำสุดในปีที่ผ่านมา โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่าง S&P 500 ที่ใช้เวลาเพียง 10 เดือนในการปรับขึ้น 72% นับจากจุดต่ำสุดที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563 ถือเป็นการฟื้นตัวที่เร็วที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ และคล้ายกับการฟื้นตัวในวิกฤตซับไพรม์ปี 2552 เป็นอย่างมาก ทั้งในแง่ของความเร็ว ขนาด และรูปแบบในการฟื้นตัว
“หากพิจารณาการฟื้นตัวจากช่วงซับไพรม์จะพบว่าดัชนี S&P 500 ได้ปรับฐานประมาณ 10% ในเดือนที่ 11 ของการฟื้นตัว ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดหุ้นในช่วงนี้มีความเสี่ยงที่จะปรับฐานเช่นกัน โดยการปรับฐานของตลาดในรอบซับไพรม์นั้นมีสาเหตุจาก 1. ตัวเลขเศรษฐกิจที่เริ่มแผ่วลงในช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 และ 2.การยุติมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในเดือนมีนาคม 2553” นายคมศรกล่าว
สำหรับการฟื้นตัวในรอบนี้ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ได้เริ่มเห็นการปรับตัวขึ้นของเศรษฐกิจ ในลักษณะที่แผ่วลงแบบเดียวกับวิกฤตซับไพรม์ ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดระลอกสองในหลายประเทศ นอกจากนี้ ยังเห็นภาวะการเก็งกำไรการลงทุนในตลาดหุ้นค่อนข้างสูง โดยวัดจากดัชนีชี้วัดภาวะการเก็งกำไร เช่น Put-call Ratio, ปริมาณการถือครองเงินสดของผู้จัดการกองทุน ซึ่งอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบหลายปี และปริมาณกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin) ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ปัจจัยเหล่านี้อาจเป็นความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการปรับฐาน
อย่างไรก็ตาม หากตลาดหุ้นเกิดการปรับฐานในรอบนี้ ประเมินว่าจะเป็นเพียงการปรับฐานระยะสั้นเท่านั้น และอาจไม่รุนแรงเท่ากับในอดีต เนื่องจากมีปัจจัยบวก ด้านนโยบายการเงินและนโยบายการคลังที่ยังผ่อนคลายอย่างมาก รวมถึงความคืบหน้าจากการกระจายวัคซีนที่ยังช่วยหนุนตลาด
ขณะที่ในระยะยาวยังมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการเติบโตของกำไร ซึ่งจะผลักดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นต่อ นำโดยกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (EM) ที่มีแแนวโน้มปรับตัวขึ้นตามทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจ และกำไรบริษัทจดทะเบียนในภูมิภาคนี้มีโอกาสเติบโตสูง ขณะที่ระดับราคาหุ้น (Valuation) ยังไม่แพงมาก
โดยตลาดหุ้นที่มีความน่าสนใจที่สุดในภูมิภาคนี้ คือ ตลาดหุ้นจีน (CSI300) เห็นได้จากอัตราส่วนระหว่างราคาหลักทรัพย์ต่อกำไรสุทธิคาดการณ์ต่อหุ้น (Forward P/E Ratio) ที่อยู่ประมาณ 15 เท่า ซึ่งยังต่ำว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500 ที่ 22 เท่า) และตลาดหุ้นไทย (SET Index ที่ 19 เท่า) อยู่พอสมควร ซึ่งสะท้อนว่า ตลาดหุ้นจีนยังมีราคาไม่แพง และยังมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นได้ ตามทิศทางเดียวกับกำไร ดังนั้น การปรับฐานของหุ้นในรอบนี้จึงแนะนำให้นักลงทุนพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจีน เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับพอร์ตการลงทุนโดยรวม