งาน CIIE 2020 เปิดอย่างเป็นทางการแล้ว

Must read

งานแสดงสินค้านำเข้าระหว่างประเทศประจำปี 2020 (2020 China International Import Expo) ได้เปิดอย่างเป็นทางการแล้ว โดยมีประธานาธิบดีสี จิ้นผิงกล่าวเปิดงานผ่านระบบออนไลน์เมื่อค่ำวันที่ 4 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

ครั้นพอเข้าเช้าวันที่ 5 พฤศจิกายน สายธารของผู้คนทั้งจากภาครัฐและเอกชนของจีนและต่างประเทศก็หลั่งไหลเข้าสู่ศูนย์การประชุมและการจัดแสดงสินค้านานาชาติ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน CIIE ที่ตั้งอยู่ในเขตชิงผู่ ด้านซีกตะวันตกของนครเซี่ยงไฮ้

ในปีนี้ งานแสดงสินค้านำเข้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกใช้พื้นที่มากกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย โดยเพิ่มขึ้นราว 30,000 ตารางเมตร ทั้งนี้ ภายในงานมีการจัดพื้นที่พิเศษสำหรับด้านการสาธาณสุขและการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค ซึ่งสามารถดึงดูดกิจการในลิสต์กิจการข้ามชาติในฟอร์จูน 500 (Fortune Global 500) และกิจการชั้นนำที่เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างมาก 

การเจรจาการค้าซึ่งถือเป็นไฮไลต์ของงานนี้ก็เริ่มขยับทันที่ที่ประตูงาน เพราะเพียงไม่กี่นาทีหหลังจากนั้น ดีลแรกก็สามารถตกลงกันได้ โดยบริษัท พีทีซี อิเล็กทรอนิกส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเทรดดิ้งที่ตั้งอยู่ในเขตชิงผู่ ลงนามในสัญญาจัดซื้อสินค้าด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ อาทิ จอแอลอีดีและชิ้นส่วนอุปกรณ์ของบริษัท ท๊อปวิคทอรี่ อินเวสต์เมนต์ จำกัด ในมูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีการลงนามในสัญญาจัดซื้อครั้งใหญ่ของสายการบินไชน่าอีสเทิร์นในการจัดหาเครื่องยนต์ไอพ่นรุ่น LEAP-1A จำนวน 7 เครื่อง พร้อมบริการหลังการขายจากซีเอฟเอ็ม อินเตอร์เนชันแนล และการจัดซื้อชิ้นส่วนเครื่องยนต์ไอพ่นรุ่น 131-9A จากฮันนี่เวลล์

คิดเป็นมูลค่ารวมถึง 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเพียงแค่วันแรกของการเปิดงาน กิจการของจีนก็มีการลงนามในสัญญาจัดซื้อสินค้าและบริการจากต่างประเทศจำนวนหลายสิบฉบับนับเป็นมูลค่ารวมหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ

ในส่วนของไทย กิจการชั้นนำที่เป็นสมาชิกของหอการค้าไทยในจีนจำนวนมากต่างเข้าร่วมจัดแสดงสินค้าภายในงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม อาทิ กลุ่มธุรกิจเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กลุ่มธุรกิจทีซีพี

เจ้าของแบรนด์กระทิงแดง ดอกบัวคู่และไนเนสต์ที่กำลังฟู่ฟ่ากับตลาดรังนกพร้อมดื่มในจีน และแบรนด์แก้ว และคันนา ผู้ผลิตและทำตลาดทองม้วนและขนมหวาน รวมทั้งโกลเด้นบี น้ำผึ้งจากแดนเหนือของไทย

นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบการไทยที่สยายปีกในตลาดจีนก่อนหน้านี้อย่างสามมิตร มอเตอร์ และพาซาญ่า ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมคุณภาพ รวมทั้งเฉลิมไทย ผู้จัดจำหน่ายสินค้าไทยออนไลน์ในตลาดจีน ต่างได้รับความสนใจจากผู้เข้าเยี่ยมชมงานอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง

อย่างไรก็ดี งาน CCIE ในปีนี้อาจกร่อยลงไปหน่อยเมื่อท่านผู้นำจีนไม่ได้เดินทางมาเปิดงานที่เซี่ยงไฮ้ดังเช่น 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสาเหตุสำคัญอาจเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ในหลายประเทศที่ยังรุนแรงอยู่ ทำให้รัฐบาลจีนคงมาตรการการตรวจโรคก่อนเดินทางและการกักตัว 14 วันเมื่อถึงจีนอย่างเข้มงวด ส่งผลให้ผู้ประกอบการต่างชาติจำนวนมากที่สมัครเข้าร่วมงาน ไม่ได้เดินทางไปร่วมงานด้วยตนเอง ทำให้สีสันของการจัดงานครั้งที่ 3 เจือจางลงไปไม่มากก็น้อย

แต่สำหรับผมแล้ว ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ คำกล่าวเปิดงานของท่านสี จิ้นผิง ซึ่งน่าติดตามมากว่ามีสาระสำคัญ และส่งสัญญาณอะไรไปดังกระหึ่มทั่วโลกกันบ้าง …

ประเด็นแรก จีนยังคงตอกย้ำที่จะเปิดโอกาสทางการตลาดแก่สินค้าและบริการของต่างประเทศ และมีบทบาทในการฟื้นเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ นับแต่ปี 2019 จีนได้เดินหน้ามาตรการนำเข้าสินค้าอย่างจริงจัง ดังจะเห็นได้ว่า มูลค่าการนำเข้าสินค้าและบริการของจีนเพิ่มขึ้นมากกว่าอัตราเฉลี่ยของโลก

ประการที่ 2 จีนจะอำนวยความสะดวกต่อการแลกเปลี่ยนความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ใหม่ๆ และการเชื่อมกับโลกในการเป็นเวทีสาธารณะหลักในการจัดซื้อระหว่างประเทศ การส่งเสริมการลงทุน การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และความร่วมมือที่เปิดกว้าง

จีนได้ลดประเภทธุรกิจที่เปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยลิสต์ห้ามการลงทุนใน Negative List ลดลงจาก 40 เหลือ 33 ประเภท พัฒนาเขตเสรีทางการค้า (Free Trade Zone) อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจนเพิ่มจำนวนจาก 18 แห่งเป็น 21 แห่งในปัจจุบัน

แผนแม่บทของการพัฒนาเขตการค้าเสรีไฮ่หนาน และแผนปฏิบัติการขยายการปฏิรูปและการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจในเซินเจิ้นได้ถูกเปิดเผยและดำเนินการจนรุดหน้าไป ซึ่งรวมไปถึงข้อตกลงว่าด้วยการค้าเสรีที่มีมาตรฐานสูง เขตสาธิตเพื่อการส่งเสริมความสร้างสรรค์ การคุ้มครองสิทธิทรัพย์สินทางปัญญา การขยายความร่วมมือเชิงคุณภาพสูงในโครงการ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง”

ประเด็นถัดมา ผู้นำจีนตระหนักดีว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ทำให้โลกมีเสถียรภาพที่ลดลง และความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น แต่ก็เรียกร้องให้มนุษยชาติต้องร่วมมือกัน และต่อสู้เพื่อเอาชนะความเสี่ยง ภัยพิบัติ และแรงเสียดทานเฉกเช่นเดียวกับที่บรรพชนของมนุษยชาติได้กระทำมาอย่างต่อเนื่องในอดีต

ผู้นำจีนยังกระตุกความคิดว่า แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกที่มุ่งสู่การเปิดกว้างและความร่วมมือยังคงดำรงอยู่ ทุกประเทศจึงจำเป็นที่จับมือกันร่วมฟันฝ่าความเสี่ยงและความท้าทาย สร้างความแข็งแกร่งของความร่วมมือและการสื่อสาร และเห็นคุณค่าของการเปิดกว้างมากขึ้น

ประเด็นนี้ก็น่าคิดมาก เพราะผ่านมาเพียงไม่กี่ทศวรรษนับแต่จีนปรับทิศทางเศรษฐกิจและเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก ประเทศที่เคยยึดถือระบอบสังคมนิยมและบริหารจากส่วนกลางอย่างจีน ได้ผันตัวเองกลายเป็นประเทศหลักที่พยายามเรียกร้องให้โลกยึดมั่นในระบบการค้าเสรี และหันมาร่วมมือกันพัฒนาเศรษฐกิจสู่โลกาภิวัตน์ที่เปิดกว้างยิ่งขึ้นบนพื้นฐานของประโยชน์ร่วมของนานาประเทศที่สมดุล

จีนในวันนี้ยืนยันหนักแน่นในจุดยืนของการสนับสนุนการค้าแบบพหุภาคีโดยมีองค์การการค้าโลกเป็นเสาหลัก และประเมินว่าแนวคิดแบบเอกภาคีและการกีดกันทางการค้าถือเป็นเรื่อง “ตกยุค” และเป็นตัวบ่อนทำลายระเบียบเศรษฐกิจโลกและกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศ ดังนั้น โลกจึงควรปฏิรูประบบการกำกับเศรษฐกิจโลกอย่างสร้างสรรค์เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์และหลีกเลี่ยงภยันตรายที่อาจเกิดขึ้น

ประการสุดท้าย ผู้นำจีนยังได้กล่าวถึงสาระสำคัญของแผนพัฒนา 5 ปีฉบับที่ 14 (2021-2025) ที่เพิ่งผ่านที่ประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ชุดที่ 19 ครั้งที่ 5 ไปเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา ว่า จีนในอนาคตอันใกล้จะบรรลุเป้าหมายของการก้าวขึ้นเป็นสังคมที่รุ่งเรืองปานกลาง (Moderately Prosperous Society) รอบด้าน ซึ่งดูเหมือนรัฐบาลจีนพยายามหลีกเลี่ยงการใช้คำว่าประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนาดังเช่นในที่ผ่านมา

เท่านั้นไม่พอ ผู้นำจีนยังแสดงวิสัยทัศน์ว่า จีนจะเดินหน้าสู่บริบทและแนวทางการพัฒนาใหม่ที่มุ่งเน้นการเติบโตจากภายในเป็นหลัก และทวีกำลังเศรษฐกิจภายในและระหว่างประเทศระหว่างกันอย่างเปิดกว้าง เพื่อสนองตอบต่อความจำเป็นของจีน และสร้างความผาสุกแก่ประชาชนของทุกประเทศในระดับที่สูงขึ้น

ปัจจุบัน จีนมีจำนวนประชากร 1,400 ล้านคน โดยเป็นกลุ่มผู้มีรายได้ระดับปานกลางกว่า 400 ล้านคน จึงจัดว่าเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพมากที่สุดในโลก มูลค่าการนำเข้าของจีนใน 10 ปีข้างหน้าคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 22 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเฉลี่ยถึงปีละ 2.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เราต้องคิดให้ตกผลึกและเอาจริงเอาจังกับการขยายการส่งออกและการลงทุนของไทยในจีนในอนาคต

ขณะเดียวกัน ภาคการผลิตของจีนก็เป็น “จิ๊กซอว์” สำคัญยิ่งของภาคการผลิตและห่วงโซ่อุปทานโลก อุปสงค์ของตลาดจีนอันมหาศาลดังกล่าวจะสามารถปลดปล่อยศักยภาพด้านการนวัตกรรมได้อย่างไร้ขอบเขต

ในท้ายที่สุด ท่านประธานาธิบดีสี จิ้นผิงยังได้หยิบยกคำกล่าวอมตะของท่านประธานเหมา เจ๋อตงที่ว่า “ไม่ถึงกำแพงเมืองจีน ไม่ใช่วีรบุรุษ” (ปู๋ต้าวฉางเฉิงเฟยฮ่าวฮั่น) ซึ่งทำให้ผู้เข้าร่วมงานต่างติดตรึงใจ

ความหมายที่ซ่อนอยู่ในสุภาษิตนี้อาจทำให้ท่านผู้อ่านเข้าใจได้ว่า ทำไมจีนจึงประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจจนเติบใหญ่เช่นนี้ และปีนี้จีนยังจะเป็นเศรษฐกิจใหญ่แห่งเดียวในโลกที่มีอัตราการเติบโตเป็นบวก

นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกว่า จีนจะทุ่มเทและฟันฝ่านานับอุปสรรคและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น เพื่อทะยานขึ้นเป็นอภิมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกในอนาคต โดยไม่ทิ้งประเทศใดไว้ข้างหลัง

ท่านพร้อมหรือยังที่จะทำตัวเป็น “เหาฉลาม” กระโดดเกาะหลัง “มังกรเศรษฐกิจ” ที่กำลังจะทะยานฟ้าในอนาคตอันใกล้ …

- Advertisement -spot_img

More articles

- Advertisement -

Latest article