บรรยากาศตลาดหุ้นทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกส่งท้ายสัปดาห์ (9 ต.ค.) ด้วยการขยับปรับตัวเพิ่มขึ้นตามรอยตลาดหุ้นวอลล์สตรีทของสหรัฐฯ เหตุนักลงทุนมีความหวังต่อการบรรลุข้อตกลงแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระลอกใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ
โดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต เปิดตลาดซื้อขายเป็นวันแรกหลังวันหยุดยาวปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.34% ขณะที่ดัชนีเสิ่นเจิ้น คอมโพเนนท์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.248% เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากรายงานผลสำรวจกิจกรรมภาคบริการที่วัดจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อ (PMI) ประจำเดือนกันยายนที่พบว่ามีการขยับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 54.8 จุด บ่งชี้ถึงสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีน
ด้านดัชนี MSCI ของเอเชีย ยกเว้นญี่ปุ่นขยับปรับขึ้นเล็กน้อยที่ 0.14%
ในส่วนของดัชนีนิกเคอิ225ของญี่ปุ่นปรับตัวลงเล็กน้อยที่ 0.1% เช่นเดียวกันกับดัชนี S&P/ASX200 ของออสเตรเลียที่ลดลง 0.14%
สำหรับตลาดหุ้นในเกาหลีใต้และเกาะไต้หวันปิดทำการในวันนี้เนื่องในวันหยุด
ทั้งนี้ ความสนใจของนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงให้น้ำหนักกับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระลอกใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่าได้เริ่มต้นหันมาพูดคุยกับสภาคองเกรสเพื่อหาบรรเทาวิกฤตเศรษฐกิจจากโควิด-19 แล้ว ซึ่งแม้ก่อนหน้านี้ทางนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯจะแบ่งรับแบ่งสู้เรื่องการออกมาตรการกระตุ้นโดยไม่มีแผนช่วยเหลือเพิ่มเติม กระนั้น ความจริงที่ว่าทางการัฐฯได้กลับมาเจรจาหารือเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างจริงจังอีกครั้งก็เพียงพอที่จะทำให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลได้บ้าง
ขณะเดียวกัน สัญญาณบวกดังกล่าวยังส่งผลให้ดัชนีหุ้นในตลาดฟิวเจอร์สปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 100 จุด โดยดัชนีดาวน์โจนส์ปรับขึ้น 0.4% S&P500เพิ่มขึ้น 0.4% และดัชนีแนสแด็กคอมโพสิตเพิ่มขึ้น 0.3%
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่า ในท้ายที่สุดแล้ว รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องออกมาตรการกระตุ้เศรษฐกิจออกมาอย่างแน่นอน โดยมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะออกในช่วงหลังการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤศจิกายนเสร็จสิ้น ดังนั้น ช่วงนี้น่าจะได้เห็นภาวะผันผวนขึ้นลงในตลาดหุ้นต่อไปอีกสักระยะ