ข้อคิดเห็นของ “ประชัย เลี่ยวไพรัตน์” เกี่ยวกับแนวทางเศรษฐกิจของประเทศหลังปี 2020

Must read

มุมมองจากประชัย เลี่ยวไพรัตน์ นักบริหารรุ่นเก๋า อดีตกรรมาธิการการเงิน การคลังและอดีตอาจารย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ แผนกไฟฟ้า ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แนะภาครัฐตรึงค่าเงินบาทให้อ่อนลง 10% อยู่ในระดับ 34 บาท ต่อดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา เพื่อกระตุ้นการส่งออก ทำให้เกิดการจ้างงานเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโต เผยการล๊อกดาวน์ประเทศและมีวันหยุดบ่อยๆไม่ดีต่อเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลต้องเข้มงวดการป้องกันโรค Covid19 โดยใช้ MASK, เจลล้างมือ, สบู่/แชมพู ล้างมือ อาบน้ำ ซักผ้าทุกวันถ้าไปในพื้นที่น่าสงสัยก็ให้ใช้  BIO KNOX ผสมน้ำเพื่อดื่มฆ่าเชื้อทางปาก และฉีด Spray ระบบทางเดินหายใจ

นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL ให้สัมภาษณ์พิเศษถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2564 ว่าการเติบโตในระดับ 3-4% อาจจะเป็นไปได้ยากหากค่าเงินบาทยังแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง แนะนำว่าค่าเงินบาทที่เหมาะสมควรจะตรึงกับดอลล่าร์สหรัฐอเมริกามาอยู่ในระดับ 34 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐอเมริกา จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยโตได้ถึง 6-7% 

เงินบาทแข็งค่าแบบนี้คนส่งออกลำบาก ควรจะต้องให้อ่อนค่าลงอีก 10% เพราะขณะนี้รัฐบาลโดยธนาคารแห่งประเทศไทยมีเงินสำรองเงินตราระหว่างประเทศ 2 แสนห้าหมื่นล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา หรือ 7.5 ล้านล้านบาท มีความสามารถจะตรึงเงินบาทเข้ากับดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา ในอัตรา 34 บาท                           ต่อดอลล่าร์ได้  ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถออกบัตรมาซื้อดอลลาร์เพิ่มเพื่อตรึงค่าเงินบาทกับเงินดอลล่าร์อเมริกาในอัตรา 34 บาท ต่อดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา ได้ไม่น่ามีปัญหา ขณะนี้เราเกินดุลการค้าอยู่เดือนละ 100,000 ล้านบาท ในการตรึงค่าเงินบาทกับดอลล่าร์ ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องจ่ายเงินบาทให้ผู้ส่งออกเพิ่มอีก 10% คือ 10,000 ล้านบาทต่อเดือนหรือ 120,000 ล้านบาทต่อปี  ขณะนี้เรามีเงินทุนหมุนเวียน M1 Money Supply อยู่ 2.5 ล้านล้านบาท และเงินสำรองเงินตราต่างประเทศ 2 แสนห้าหมื่นล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา หรือ 7.5 ล้านล้านบาท เราสามารถออกบัตรเพิ่มได้โดยไม่ผิดกติกาเพื่อการตรึงอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ที่ 34 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐอเมริกา

เพราะเป็นอำนาจอธิปไตยของประเทศในการใช้นโยบายทางการเงินของประเทศเรา เราไม่ได้เป็นประเทศราชของ IMF หรือ World Bank เราสามารถกำหนดค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ที่รัฐบาลต้องการได้ โดยต้องคำนึงถึงการอยู่ดีกินดีของประชาชนเป็นหลักไม่ผิดกติกาใดๆ ทั้งสิ้น ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้มันขึ้นลงตามตลาดเป็นเหยื่ออันโอชะของพวกนักปั่นเงินตราซึ่งชอบอ้าง IMF และ World Bank ว่าให้ค่าเงินบาทต่อดอลล่าร์ขึ้นลงตามกลไกตลาด เพราะค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาก็ขึ้นลงตามกลไกตลาดอยู่แล้ว เพียงแต่เราเกาะติดกับดอลล่าร์โดยไม่ถูกพวกนักปั่นเงินบาทขายชาติทำให้ประเทศเสียหายยับเยินดังที่ผ่านมาตอนวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง 

ค่าเงินบาทตรึงอยู่ที่ 34 บาท ต่อดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา น่าจะช่วยให้เกิดการจ้างงานมากขึ้นเศรษฐกิจก็จะฟื้นตัวได้เร็วขึ้นโดยโรงงานไม่ต้องปิดลง คนงานมีงานทำ รัฐบาลไม่ต้องมาเสียงบประมาณช่วยเหลือ แต่จะเก็บภาษีอากรได้มากขึ้น  เราต้องยอมรับว่าการการช่วยเหลือของรัฐบาลที่ช่วยไม่ให้คนจนเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) หรือเป็นหนี้เสียถือเป็นตัวช่วยที่ดี รวมทั้งการเอาเงินมาช่วยเหลือ คนยากจนในยามตกทุกข์ได้ยากแบบรัฐสวัสดิการที่ประเทศ New Zealand ปฏิบัติอยู่ (สมัยที่ผมเรียนอยู่ภายใต้ทุนแผนการโคลัมโบ)  หากคนพวกนี้ฟื้นตัวได้ก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจ เพราะคนเหล่านี้กว่าครึ่งหนึ่งประสบปัญหาจากการที่ต้องปิดเมืองหรือ Lock Down

ตัวอย่างประเทศเวียดนามที่เศรษฐกิจเขาฟื้นตัวได้เพราะรัฐบาลไปกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนให้ค่าเงินดอง (VND) ต่อดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาถูกเพื่อให้สามารถส่งออกได้ เพราะเป็นอำนาจอธิปไตยของเขา และทุกประเทศชมเชยว่ารัฐบาลเวียดนามเก่ง และรักชาติสมควรไปลงทุนที่นั่นโดยถอนการลงทุนจาก               ไทย และจีน

ผมขอแนะนำรัฐบาลว่าอย่าล๊อกดาว์นประเทศและหยุดงานบ่อยๆเพราะคนจะไม่มีงานทำและเศรษฐกิจจะไม่ฟื้น ถ้ามีการว่าจ้างแรงงาน คนมีเงินจากการทำงาน จะสามารถจับจ่ายใช้สอยทำให้เศรษฐกิจฟื้นได้และถ้าจะดีพยายามส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศด้วยเพื่อเพิ่มการจ้างงานและค่าแรงจะเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ แต่ต้องไม่ลืมการตั้งสติควบคุมไวรัสโควิดให้มีประสิทธิภาพด้วย เพื่อป้องกันการระบาดของโรคร้าย

ส่วนมุมมองเกี่ยวกับธุรกิจด้านพลังงาน คาดว่าแนวโน้มพลังงานสะอาด และทดแทนยังคงเป็นกระแสโลกที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน อย่างเช่นรถยนต์ไฟฟ้ายังไงก็เกิดขึ้นแน่นอน อีก 20 ปีข้างหน้าคาดว่าจะไม่มีรถยนต์ที่ใช้พลังงานฟอสซิลวิ่งอีกแล้ว ธุรกิจที่เกี่ยวกับรถยนต์แบบดั้งเดิมจะต้องเปลี่ยนไปหมด           ตามแนวโน้มของพลังงานสะอาดเพื่อธรรมาภิบาลรักษาสิ่งแวดล้อมโลก และเพื่อสังคมที่ดี ESG (Environmental  Social  Governance) ที่จะกลายมาเป็นการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ใหม่ (New Paradigm Shift)

สำคัญที่ภาคธุรกิจต้องทำตามแนวทางดังกล่าว ส่วนของธุรกิจโรงไฟฟ้าอยากจะบอกไปยังรัฐบาลว่าความต้องการใช้ไฟฟ้ายังเติบโตและจำเป็นต้องเพิ่มกำลังผลิตอีกหลายหมื่นเมกะวัตต์ เพื่อรับ Peak Load ด้วยเหตุผลการชาร์จไฟฟ้าเพื่อใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า EVCARS ดังนี้

ขณะนี้มีผู้ไม่หวังดีพยายามจะให้ชะลอการสร้างโรงไฟฟ้าโดยอ้าง Covid19 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ชั่วคราว แต่ตามสถิติการใช้น้ำมันในตอนนี้ประเทศไทยมีการใช้น้ำมันวันละแสนตันเทียบเท่ากับกำลังไฟฟ้า 48,000 MW ถ้าประสิทธิภาพของเครื่องยนต์เท่ากับ 40% จะเทียบเท่ากับ Motor ไฟฟ้า 19,200 เมกกะวัตต์ โดยเฉลี่ย ถ้ามีการ Charge ไฟ Battery โดย Slow Charger 6 ชม. เต็ม เพื่อใช้ 1 วัน ระบบไฟฟ้าต้องมีขนาด equation.pdf= 4 เท่า ของ 19,200 MW หรือเท่ากับ 76,800 MW เพื่อรับ Peak Load ถ้าใช้ค่าเฉลี่ยของจำนวนรถที่มา Charge ไฟพร้อมกันไม่ให้เกินครึ่งหนึ่งก็ต้องเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าอีก 2 เท่าของ 19,200 MW                                หรือ 39,400 MW เพื่อรับ Peak Load

หมายเหตุ : หากใช้ Fast Charger ชาร์จไฟ Battery ครึ่งชม. ใช้ได้ทั้งวัน ถ้าชาร์จพร้อมกันหมดระบบไฟฟ้าต้องมีกำลังผลิต equation_1.pdfเท่า ของกำลังไฟฟ้าปกติรับ  Peak Load  ซึ่งถ้าใช้เวลาที่เหลือ Charge Battery ได้ equation_2.pdf  ของรถ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ถ้า 50% ของรถทั้งหมดใช้ Fast Charger รวมแล้วใช้เวลา 12 ชม.มี Margin เหลือเวลาอีก  6 ชม. ให้รถที่ใช้ค่าเฉลี่ยชาร์จไฟวันละ 2 ครั้ง เพื่อใช้ 24 ชม. ระบบไฟฟ้าต้องมีกำลังผลิต 24/(2×2) = 6 เท่า ของกำลังไฟฟ้าปกติเพื่อรับ Peak Load จะสามารถชาร์จได้พร้อมกันequation_3.pdf ของรถทั้งหมด  

หากมีการเปลี่ยนรถใช้น้ำมันเป็นรถใช้ไฟฟ้า EV CARS ไป 20% ภายในห้าปี การไฟฟ้าฝ่ายผลิตต้องเพิ่มกำลังผลิตในระบบอีก 39,400 x 20% = 7,880 MW หรืออย่างต่ำ 39,400 MW ภายใน 20 ปี เพื่อรับ Peak Load จากที่กำหนดใน PDP18

ฉะนั้น PDP18 ต้องมีการแก้ไขให้เพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าโดยด่วน มิฉะนั้นจะเกิดการ Blackout ไฟดับทั้งเมืองใน 5 ปีข้างหน้า  เพราะการที่สร้างโรงงานไฟฟ้าขนาดใหญ่แต่ละโรง ต้องใช้เวลา 5 ปี โดยทำ EIA/EHIA 2 ปี หลังจากนั้นค่อยก่อสร้างอีก 3 ปี รวมทั้งหมด 5 ปี เป็นอย่างต่ำ 

- Advertisement -spot_img

More articles

Latest article