
นายสรรเพชญ ศลิษฏ์อรรถกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยงคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ YONG เปิดเผยว่า เปิดเผยว่า ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตการเสนอขายหุ้นออกใหม่ต่อประชาชน และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนของ YONG ที่ได้ยื่นขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 180 ล้านหุ้น คิดเป็น 26.47% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ในครั้งนี้ คาดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ภายในปี 2565
โดย บริษัทฯ มีแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโต รองรับความต้องการคอนกรีตเพิ่มขึ้น ตามแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และงานก่อสร้างของประเทศ ด้วยวิสัยทัศน์ในการมุ่งเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์คอนกรีตด้วยนวัตกรรม มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพ สู่มาตรฐานสากล และยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนและนักลงทุนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการต่อยอดความสำเร็จของ YONG
วัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ (1) จะนำไปใช้เป็นเงินลงทุนในการก่อสร้างโรงงานที่อ.บางเลน จ.นครปฐม เพื่อขยายกำลังการผลิตและพัฒนาระบบที่เกี่ยวข้อง (2) ใช้ลงทุนก่อสร้างโรงงานคอนกรีตผสมเสร็จ ที่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี (3) ใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงิน และ(4) ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจ
โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนดังกล่าวภายในปี 2565 เพื่อรองรับการดำเนินงานของบริษัท ที่จะขยายธุรกิจทั้งในการขยายกำลังการผลิตของโรงงานผลิตเดิม และการเปิดโรงงานการผลิตใหม่เพื่อเป็นการขยายฐานการผลิตของบริษัท
ปัจจุบันบริษัทมีโรงงาน 7 แห่ง และถือเป็นผู้ผลิตคอนกรีตรายใหญ่โซนภาคกลาง และภาคตะวันตก โดยมีสำนักงานใหญ่ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตคอนกรีตสำเร็จรูปและคอนกรีตผสมเสร็จ (โรงงานท่าม่วง) อยู่ที่อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี และมีโรงงานสาขาอีก 6 แห่ง แบ่งตามจังหวัดที่ตั้ง ได้แก่ ที่จ.กาญจนบุรี ประกอบด้วย โรงงานวังสารภีและโรงงานทองผาภูมิ ที่จ.นครปฐม ประกอบด้วย โรงงานหนองดินแดงหรือโรงงานนครปฐม โรงงานบางเลน และโรงงานนครชัยศรี และโรงงานชลบุรี ซึ่งแบ่งเป็น
1.โรงงานผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป 3 แห่ง สำหรับผลิตภัณฑ์เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง เสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรง เสาคานคอนกรีต รั้วคอนกรีต ท่อคอนกรีตอัดแรก และขอบคันหิน ผลิตภัณฑ์แผ่นพื้นสำเร็จรูป แผ่นพื้นมอเตอร์เวย์ แผ่นผนังคอนกรีตสำเร็จรูป-Precast เป็นต้นและ
2.โรงงานผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมเสร็จ 6 แห่ง ที่นอกจากจะผลิตคอนกรีตผสมเสร็จเพื่อใช้ในการผลิตคอนกรีตสำเร็จรูปแล้ว ยังผลิตคอนกรีตผสมเสร็จเพื่อจำหน่ายให้กับบุคคลภายนอก
โดยสัดส่วนรายได้จากการขายและให้บริการของบริษัทฯ ณ สิ้นไตรมาส 1/2565 แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ลูกค้าโครงการภาคเอกชนอยู่ที่ 34.81% กลุ่มลูกค้าโครงการภาครัฐ 3.43% และกลุ่มลูกค้าทั่วไป 61.76% เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง รวมทั้งสร้างโอกาสในการเติบโตเพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศช่วงหลังโควิด-19 ซึ่งคาดว่าจะมีเม็ดเงินออกมากระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐบาลและการลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ช่วยสนับสนุนบรรยากาศงานก่อสร้างในประเทศให้คึกคักขึ้น
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงปี 2562-2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 999.16 ล้านบาท, 806.36 ล้านบาท และ 881.42 ล้านบาท ตามลำดับ โดยรายได้ในปี 2563 ชะลอตัวลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้งานก่อสร้างส่วนใหญ่ชะลอตัวลงทำให้รายได้จากกลุ่มธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป และธุรกิจขนส่งสินค้า มีรายได้ลดลง
ขณะที่รายได้รวมในงวดไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 240.14 ล้านบาท ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปี 2564 อยู่ที 240.47 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมกำไรในช่วงปี 2562-2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 108.60 ล้านบาท, 44.34 ล้านบาท และ 68.94 ล้านบาท ตามลำดับ และสิ้นสุดไตรมาส 1/2565 มีกำไรสุทธิ 19.35 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 11.25, 5.55, 7.92 และ 8.12 ตามลำดับ โดยอัตรากำไรสุทธิในงวด 3 เดือนแรกของปี 2565 ปรับตัวดีขึ้นจากงวดปี 2564
อย่างไรก็ดี บริษัทมีการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพทำให้สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้มากกว่าร้อยละ 30 ของรายได้จากการขายและบริการในการดำเนินงานตั้งแต่ช่วงปี 2562 ที่ผ่านมา
สำหรับปัจจัยสนับสนุนด้านการเติบโตสำหรับธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทมีความเกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเป็นหลัก รวมถึงการลงทุนของทั้งภาครัฐและเอกชน โดยโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาพื้นที่ 3 จังหวัด ในภาคตะวันออก ได้แก่ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา
โดยจะมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น รถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อสามสนามบิน เป็นต้น ส่งผลให้มีความต้องการวัสดุก่อสร้างจากผู้ประกอบการในแถบพื้นที่บริเวณนั้นเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อบริษัทเนื่องจากบริษัทสามารถที่จะจำหน่ายวัสดุก่อสร้างได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากบริษัทมีโรงงานผลิตที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี และมีแผนการลงทุนในอนาคตที่จะลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปที่จังหวัดระยอง ขณะที่การลงทุนจากภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง : บมจ.ยงคอนกรีต