ไม่นานนี้มีโอกาสได้ฟังมุมมองที่น่าสนใจว่า การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (digital payment) จะช่วยให้เงินหมุนเร็วขึ้น และเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจปรับตัวรับกับพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไปตั้งแต่เกิดโควิด-19 ให้ฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปได้
เพราะจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หันไปช้อปปิ้งและจ่ายชำระเงินในระบบออนไลน์สูงขึ้นมากได้ วันนี้จึงอยากมาชวนคิดกันค่ะว่า digital payment จะเร่งเงินให้หมุนไวและเร่งให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้จริงหรือ
เข้าใจการหมุนของเงิน
เริ่มจากมาทำความรู้จักกับ “อัตราการหมุนของเงิน” กันก่อนค่ะ ซึ่งวัดจากจำนวนรอบที่ “ปริมาณเงิน” ถูกนำไปใช้ซื้อขายสินค้าและบริการในประเทศ ส่วนใหญ่นิยมดูเป็นสัดส่วนของมูลค่า GDP เทียบกับปริมาณเงิน จะบอกให้รู้ถึงพฤติกรรมการใช้เงินเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการต่างๆ ที่ผลิตขึ้นในระบบเศรษฐกิจ
รวมถึงจะบอกให้รู้ถึงพฤติกรรมการเก็บเงินของประชาชนและธุรกิจเป็นเงินสดและเงินฝากเพื่อคงสภาพคล่องและรักษามูลค่าไว้
คำว่า “ปริมาณเงิน” มีหลายนิยามตั้งแต่นิยามแคบสุดไปกว้างสุด ถ้าดู “ปริมาณเงินความหมายแคบ (narrow money)” จะนับรวมเฉพาะเงินสดกับเงินฝากสภาพคล่องสูง เช่น เงินฝากกระแสรายวัน แต่ปริมาณเงินที่นิยมใช้กันจะเป็น “ปริมาณเงินความหมายกว้าง (broad money)” ที่รวมเงินฝากประเภทอื่นๆ เช่น เงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำ
สำหรับบางประเทศที่ตลาดการเงินพัฒนามาก เช่น สหรัฐฯ อาจดูปริมาณเงินความหมายกว้างขึ้น ที่รวมเงินลงทุนในกองทุนตลาดเงินที่ไถ่ถอนเปลี่ยนกลับเป็นเงินสดได้เร็ว (money of zero maturity: MZM) ด้วย
ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ปริมาณเงินจะหมุนได้น้อย เพราะผู้บริโภคและธุรกิจมีพฤติกรรมเก็บเงินมากกว่าใช้เงิน สถาบันการเงินเองก็ระมัดระวังการนำเงินฝากไปปล่อยสินเชื่อต่อเพราะกลัวหนี้เสีย เงินเลยไม่สะพัด การเทียบดูอัตราการหมุนของปริมาณเงินแต่ละประเภทจะช่วยให้เห็นว่า ภาพรวมกิจกรรมในระบบเศรษฐกิจเกิดขึ้นจากการหมุนของเงินสดและเงินฝาก (รวมถึงเงินลงทุนสภาพคล่องสูงในตลาดเงิน สำหรับปริมาณเงินความหมายกว้างที่สุด) ได้กี่รอบ
เงินหมุนช้าลงมากในช่วงโควิด-19
ในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 อัตราการหมุนของปริมาณเงินความหมายกว้างในไทย (เมื่อคิดเทียบกับมูลค่า GDP ที่เกิดขึ้นแต่ละไตรมาส) ค่อนข้างจะต่ำและนิ่งอยู่ที่ประมาณ 0.2 เท่า สะท้อนว่าจังหวะการเติบโตของเศรษฐกิจไทยขยับไปพร้อมกับการเติบโตของปริมาณเงิน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า อัตราหมุนขอเงินที่ค่อนข้างต่ำเช่นนี้กำลังบอกเราว่า ขนาดเศรษฐกิจไทยค่อนข้างจะเล็กเมื่อเทียบกับปริมาณเงินที่มีในระบบเศรษฐกิจการเงิน ยิ่งพอมาในช่วงโควิด-19 อัตราการหมุนของเงินในไตรมาส 2 ปี 2563 ช้าลงไป 20% เหลือเพียง 0.16 เท่า
สาเหตุที่อัตราการหมุนของเงินในไทยลดลงมากในช่วงไตรมาส 2 นี้มาจากมูลค่าของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (nominal GDP) ที่ซึมเซาหดตัวถึง -14.5% ขณะที่ปริมาณเงินเพิ่มขึ้นถึง 11% เทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ส่วนนึงเพราะคนไม่มั่นใจที่จะเก็บเงินไว้ในสินทรัพย์รูปแบบต่างๆ จึงไถ่ถอนโยกย้ายมาเก็บเป็นเงินสดหรือเงินฝากมากขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน เงินสดและเงินฝากโดยรวม ณ สิ้นไตรมาส 2 ของปีนี้ถึงเติบโตขึ้นมาก 16% และ 11% เทียบจากปีก่อน ตามลำดับ แม้ปริมาณเงินจะปรับลดลงบ้างจากช่วงเดือน มี.ค. ที่สถานการณ์โควิด-19 เริ่มรุนแรงในไทย แต่ข้อมูลล่าสุดก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่สูงผิดปกติ นอกจากนี้ ยังมีการเร่งอัดฉีดเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากรัฐบาลอีกราว 3 แสนล้านบาทที่มีส่วนทำให้ปริมาณเงินมีมากขึ้น
สำหรับกรณีสหรัฐฯ ปริมาณเงินหมุนเร็วกว่าไทยมาก หมุนได้ประมาณ 2 เท่าในช่วงก่อนวิกฤตปี 2551 แต่ลดลงเรื่อยๆ จนล่าสุดเหลือประมาณ 1 เท่าในช่วงโควิด-19 สาเหตุของการลดลงที่พิเศษกว่าไทย คือ เศรษฐกิจสหรัฐฯ โตไม่ทันการอัดฉีดเงินจากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ใช้มาตั้งแต่หลังเกิดวิกฤตการเงินโลกปี 2551 พอมาเจอวิกฤตโควิด-19 ทำให้ Fed ใช้มาตรการ QE หนักมือขึ้น อัตราการหมุนของเงินยิ่งดิ่งลงแรง ซึ่งนับเป็นอัตราการหมุนของเงินที่ต่ำสุดในรอบ 60 ปี สะท้อนว่ามูลค่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ขณะที่ปริมาณเงินก็ท่วมระบบจากมาตรการ QE เร่งอัดฉีดสภาพคล่อง แต่เงินไม่ได้หมุนออกไปใช้จ่ายสู่ระบบเศรษฐกิจได้มากนัก
โลกการเงินดิจิทัล…คน(มีเงิน) ใช้เงินได้เร็วขึ้น
จริงอยู่ว่า digital payment เข้ามาช่วยให้การจ่ายโอนเงินสะดวกรวดเร็วขึ้น ลดต้นทุนและเวลา ทำได้ตลอดเวลาผ่านโทรศัพท์มือถือหรือการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ส่วนผลศึกษาของ ธปท. ก็สนับสนุนว่า digital payment ช่วยให้เงินหมุนเร็วขึ้นและมีบทบาทมากขึ้น แต่อย่าลืมว่า คนจะตัดสินใจกดปุ่มใช้จ่ายออนไลน์ได้เร็ว ก็ต้องอุ่นใจด้วยว่ามีเงินใช้จริงๆ ดังนั้น ปัจจัยหลักที่จะทำให้เงินหมุนเร็วขึ้นจึงมาจากบรรยากาศทางเศรษฐกิจและความมั่นใจของประชาชนด้วย ถ้าคนมีงานทำมีกระแสรายได้แน่นอน ไม่ต้องกังวลว่าจะตกงานหรือถูกลดเงินเดือน หรือกิจการจะต้องปิดในวันหน้า พอได้เงินมาก็กล้าใช้เงิน เงินก็จะหมุนเปลี่ยนมือเป็นทอดๆ ได้ไม่จบ แต่ถ้าคนยังกังวล พอได้เงินมาก็จะเก็บออมไว้มากขึ้น ใช้จ่ายต่อไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เงินก็จะหมุนเปลี่ยนมือช้าลง
ดังนั้น การจะเร่งให้เงินหมุนไวขึ้นได้ในยามวิกฤต คงไม่ใช่แค่การออกมาตรการแจกเงินเยียวยา พักหนี้ หรือเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราว แต่ภาครัฐคงต้องมองถึงนโยบายที่จะสร้างความมั่นใจในทิศทางเศรษฐกิจ การมีงานทำมีกระแสรายได้ที่แน่นอน รวมถึงการสร้างบรรยากาศให้คนที่มีเงินสดเงินฝากตุนอยู่เยอะอยากใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนปัจจัย digital payment ที่รอท่าอยู่ จะช่วยให้ข้อต่อการใช้จ่ายหมุนเงินเป็นทอดๆ ทำได้ไวขึ้น เศรษฐกิจไทยจะได้ฟื้นกลับมาในเร็ววัน
ดร.ฐิติมา ชูเชิด
ฝ่ายนโยบายการเงิน
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย
https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_05Oct2020.aspx