โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดกลยุทธ์ก้าวสู่ผู้นำนวัตกรรมความงามและสุขภาพของเอเชีย พร้อมเผยช่วงราคาเสนอขาย IPO ที่ 8.50 – 9.00 บาทต่อหุ้น เตรียมเปิดจองซื้อวันที่ 5 และ 8-9 กพ.นี้
นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ KISS กล่าวว่า บริษัทจะจัดโรดโชว์เพื่อให้ข้อมูลแก่นักลงทุนรายย่อยที่สนใจผ่านช่องทางออนไลน์ Facebook page: Rojukiss และ MT Multimedia ในวันที่ 4 ก.พ.64
และจะเปิดให้นักลงทุนได้จองซื้อที่ราคา 9.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น พร้อมทำการสำรวจความต้องการซื้อหุ้น IPO ของนักลงทุนสถาบัน(Bookbuilding) ในระหว่างวันที่ 5 และ 8-9 ก.พ.64 นี้ หากราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่าราคาจองซื้อก็จะคืนเงินส่วนเกินให้แก่นักลงทุนรายย่อยต่อไป และคาดว่าจะนำหุ้น KISS เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 19 ก.พ.นี้
ทั้งนี้ KISS ได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ 4 ราย เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม ประกอบด้วยบริษัท หลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด
ปัจจุบัน KISS มีทุนจดทะเบียนจำนวน 309 ล้านบาท แบ่งเป็น 618 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท มีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 270 ล้านบาท โดยจะเสนอขาย IPO จำนวนไม่เกิน 152,641,600 หุ้น หรือ คิดเป็นไม่เกิน 25.4% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ แบ่งเป็น (1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 60,000,000 หุ้น (2) หุ้นสามัญที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิมไม่เกิน 92,641,600 หุ้น
บริษัทมีวัตุประสงค์นำเงินที่ได้จากการระดมทุนด้วยการเสนอขาย IPO ไปพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์และแบรนด์ใหม่ในประเทศไทย พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อขยายฐานลูกค้าและช่องทางการขายตรงแก่ผู้บริโภค ขยายธุรกิจในต่างประเทศ ลงทุนและพัฒนาด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล และชำระเงินกู้ยืมระยะสั้น
“การระดมทุนครั้งนี้ ทำให้ KISS เพิ่มขีดความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมให้กับผลิตภัณฑ์และแบรนด์ใหม่ที่เข้าถึงง่ายและตอบโจทย์วิถีชีวิตคนเมือง ครอบคลุมกลุ่มความงามและสุขภาพ (Health & Beauty) รวมถึงมุ่งขยายช่องทางการขายใหม่ๆ พัฒนาเทคโนโลยีด้านความงาม เพื่อสร้างฐานข้อมูลลูกค้าในเชิงลึก รวมถึงการขยายธุรกิจไปยังภูมิภาค ASEAN เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับบริษัทฯ” นางวรวรรณ กล่าว
โดยบริษัทฯ มีวิสัยทัศน์ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านความงามและสุขภาพของเอเชีย หรือ True Health and Beauty Company พร้อมตั้งเป้าหมายสร้างรายได้แตะ 3,000 ล้านบาทภายในปี 67 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 20% ต่อปีนับจากปี 62 ผ่านการขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้ 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่
1.) ขยายธุรกิจให้ครอบคลุมกลุ่มความงามและสุขภาพอย่างครบวงจร (Health & Beauty) บริษัทฯ มีแผนต่อยอดความแข็งแกร่ง 5 แบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอ โดยจะเพิ่มความหลากหลายในผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพ (Multi-category Brand Portfolio) อย่างครบวงจร รวมถึงออกแบรนด์สินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มเติม ภายใต้บรรจุภัณฑ์หลายรูปแบบ (Multi-format packaging) ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจชั้นนำในระดับโลก
2.) เป็นผู้นำสร้างนวัตกรรมความงามและสุขภาพที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตคนเมือง (Convenience Health & Beauty) โดยบริษัทฯ จะสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เข้าถึงผู้บริโภคมากที่สุด มีความสะดวกและความคุ้มค่า ภายใต้ 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สร้างความคุ้มค่าและความสะดวกสบายในการใช้งานในทุกมิติ ทั้งขนาดและราคาที่เหมาะสม รองรับการเติบโตของประชากรที่มีวิถีการดำเนินชีวิตแบบคนเมือง (Urbanization) ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น
3.) เสริมสร้างความแข็งแกร่งช่องทางจัดจำหน่ายที่หลากหลาย บริษัทฯ เดินหน้าขยายช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุม ทั้งร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าเพื่อสุขภาพและความงาม และขยายช่องทางแบบ Direct-to-Consumer (D2C) เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ทั้งด้านการสื่อสาร นำเสนอนวัตกรรมใหม่ และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ล่าสุดจับมือร่วมกับ บมจ. จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ขยายช่องทาง Media Commerce โดยร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์แบรนด์ใหม่ และช่องทางจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านทางแพลทฟอร์มสื่อต่างๆ ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่
4.) มุ่งสู่ความเป็นผู้นำในประเทศไทยและขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ บริษัทฯ นำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์การดำเนินธุรกิจเพื่อความงาม และการมีเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง มุ่งขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม เนื่องจากกลุ่มประเทศดังกล่าวมีแนวโน้มการขยายจำนวนประชากรสูง ซึ่งเมื่อรวมกับประเทศไทยคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนประชากรสูงถึง 571 ล้านคนในปี 2567 จึงมีความต้องการผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและสุขภาพ ส่งผลให้ตลาดเติบโตเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 10% จากเมื่อปี 2562 หรือคิดเป็นมูลค่า 13.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
“จุดแข็งของเรา มีกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่แตกต่างและโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง ผ่านระบบบริหารจัดการเทียบเท่าบริษัทชั้นนำระดับโลก แต่มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นสูง ภายใต้ทีมผู้บริหารมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพ รวมถึงการเป็นบริษัท Asset Light ที่พร้อมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ เอื้อต่อการคิดค้นพัฒนานวัตกรรมตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ อีกทั้งยังมีความได้เปรียบในเชิงประสิทธิภาพของนวัตกรรมและต้นทุนจากการมีเครือข่ายพันธมิตรชั้นนำระดับโลก ทำให้เราก้าวกระโดดในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและสุขภาพ และนำธุรกิจก้าวสู่ผู้นำนวัตกรรมความงามและสุขภาพของเอเชีย” นางวรวรรณ กล่าว
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง : โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล เตรียมเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 152,641,540 หุ้น