ไนท์แฟรงค์ ประเมินธุรกิจโรงแรมไทยจะกลับมาฟื้นเร็วสุด ปลายปี 64 – ต้นปี 65

Must read

ไนท์แฟรงค์ ประเมินธุรกิจโรงแรมไทยจะกลับมาฟื้นเร็วสุด ปลายปี 64 – ต้นปี 65 หวังได้วัคซีนโควิดเป็นแรงหนุนสำคัญ หวังนักท่องเที่ยวกลับมาแตะ 40 ล้านคนเท่าก่อนโควิดในปี 67 

มร.คาร์ลอส มาร์ติเนซ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจโรงแรมในปี 64 ว่า  จากที่ได้คาดการณ์กันว่าประเทศไทยจะสร้างสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุดในปี 63 แต่กลับอยู่ในระดับต่ำสุดแทน เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัส-19  ส่งผลให้ความต้องการห้องพักในโรงแรมลดลงอย่างมาก

จากสถานการณ์ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าตลาดโรงแรมหรูในกรุงเทพฯ พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติค่อนข้างสูง การพึ่งพาการท่องเที่ยวภายในประเทศเพียงอย่างเดียวมาเพียงพอ ทำให้โรงแรมหลายแห่งเลือกที่จะปิดธุรกิจบางส่วนหรือทั้งหมด จนกว่าจะมีสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดในส่วนของโรงแรมที่เปิดให้บริการนั้นยังคงไม่ดีนัก มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพียง 20% ส่วนใหญ่มาจากแพ็คเกจ Staycation และนักท่องเที่ยวต่างชาติจากโครงการกักตัวทางเลือก (Alternative State Quarantine)

ทั้งนี้ประเมินสถานการณ์ยังคงมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเกิดโควิด -19 ระบาดระลอกใหม่ในประเทศไทย ในเดือนม.ค.64 แต่อย่างไรก็ตามภายใต้วัคซีนป้องกันโควิด -19 ที่จะเริ่มใช้ในประเทศไทยและทั่วโลก เราคาดหวังว่าจะเห็นจุดฟื้นตัวของภาคโรงแรมในปลายปี 64 หรืออาจเป็นต้นปี 65

รัฐบาลไทยคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะขยับขึ้นเป็น 8 ล้านคนในปี 64 และจะค่อยๆฟื้นตัวจนถึงระดับก่อนเกิดโควิด ที่มีนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน ภายในปี 67 ชายแดนไทยยังไม่เปิดจนกว่าการใช้วัคซีนจะประสบความสำเร็จ โดยรัฐบาลไทยคาดว่าอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของประชากรในประเทศไทยจะได้รับฉีดวัคซีนภายในสิ้นปี 64 โดยในสถานการณ์นี้ อัตราค่าห้องเฉลี่ยต่อวันอาจปรับลดลงอีก เนื่องจากผู้ประกอบการแข่งขันกันเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว

การท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นตัวขับเคลื่อนเดียวในช่วงต้นปี 64 นี้ เมื่อข้อจำกัดด้านการเดินทางผ่อนคลายลง การกลับมาฟื้นตัวจะเริ่มจากนักท่องเที่ยวในภูมิภาคเดียวกันก่อน พร้อมกับการเดินทางเชิงธุรกิจ ตามมาด้วยการฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในภาคการท่องเที่ยวจากต่างชาติและธุรกิจ MICE ที่ประกอบไปด้วย  ธุรกิจการจัดการประชุมขององค์กร (Meeting)  การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (Incentive)  การจัดการประชุมนานาชาติ (Conventions)  และการจัดการแสดงสินค้าและนิทรรศการ (Exhibitions)

อัตราการเข้าพักโดยเฉลี่ยในกรุงเทพฯ คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยอาจจะเห็นการปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 64  โดยเฉพาะในช่วงไฮซีซั่นในไตรมาสสุดท้าย หากมีการยกเลิกข้อจำกัดด้านการเดินทาง

สำหรับในปี 63 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 6.7 ล้านคน ลดลงถึง 83% ปีต่อปี จาก 39.9 ล้านคน ในปี 62 เนื่องจากข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19  โดยระหว่างเดือนเม.ย.-ก.ย.ปี 63 ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ ขณะที่ไตรมาสที่ 4 ของปี 63 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามา 10,822 คน ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวแบบพิเศษระยะยาว ซึ่งต้องกักตัว 14 วัน

จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดในปี 63 ส่วนใหญ่มาจากเอเชียตะวันออก คิดเป็น 56% ตามมาด้วยยุโรป 31% และอีกประมาณ 20% มาจากจีน ซึ่งยังคงเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุด

ในเดือน ก.ค. 63 รัฐบาลไทยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในภายประเทศ และเป็นการพยายามชดเชยบางส่วนจากการไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศ มาตรการดังกล่าวคือการช่วยเหลือค่าใช้จ่าย 40% ของราคาห้องพักปกติเป็นจำนวน 5 ล้านสิทธิ ซึ่งโรงแรงส่วนใหญ่จะได้รับประโยชน์ในช่วงวันหยุดยาว เช่นโรงแรมในพัทยา และหัวหิน เป็นต้น ในขณะที่โรงแรมระดับลักชัวรี่เสนอแพ็คเกจ “staycation” เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวภายในประเทศด้วยส่วนลดพิเศษต่างๆ

ในปี 63 มีอัตราการเข้าพักโดยเฉลี่ยของโรงแรงระดับลักชัวรี่ในกรุงเทพฯ เพียง 27% อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาสแรกของปี 63 มีอัตราการเข้าพักมากกว่า 50% และลดลงไปต่ำสุดที่ 20% ในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ของปี 63 โดยอัตราดังกล่าวมาจากแพ็คเกจ Staycations และโครงการสถานที่กักตัวทางเลือก (Alternative State Quarantine) ขณะที่ภาครัฐอนุมัติให้กรุงเทพฯ เป็นจุดเข้า-ออก สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่เนื่องจากอัตราการเข้าพักที่ต่ำ ทำให้บางโรงแรงหยุดให้บริการจนกว่าตลาดจะกลับมาฟื้นตัว

ในปี 63 อัตราค่าห้องเฉลี่ยต่อวัน (ADR) ของโรงแรงระดับลักชัวรี่ลดลง 12% เฉลี่ยอยู่ที่ 4,486 บาท ส่งผลมาจากส่วนลดพิเศษต่างๆ ที่เสนอให้กับนักท่องเที่ยวภายในประเทศเพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และในสภาวะที่อัตราการเข้าพักต่ำโรงแรงบางแห่งจึงได้ปิดตัวลงชั่วคราว

ช่วงครึ่งหลังของปี 63 มีโรงแรงระดับลักชัวรี่เปิดใหม่ 4 แห่งในกรุงเทพฯ ทำให้มีอุปทานเพิ่มขึ้น 1,162 ห้อง ได้แก่ โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์กรุงเทพ (301 ห้อง) โรงแรมสินธรเคมปินสกี้กรุงเทพ (285 ห้อง) โรงแรมสินธรมิดทาวน์กรุงเทพ (475 ห้อง) และโรงแรม เดอะ คาเพลลากรุงเทพ (101 ห้อง) ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ใจกลางย่านเศรษฐกิจ (CBD) ขณะที่การเปิดตัวของโรงแรมอื่น ๆ ในกลุ่มอัพสเกลและมิดสเกล รวมอยู่ที่ 985 ห้อง ได้แก่ อาศัย กรุงเทพ ไชน่าทาวน์ (224 ห้อง) ไลฟ์ สุขุมวิท 8 บางกอก (196 ห้อง) โรงแรมซัมเมอร์เซ็ต พระราม 9 กรุงเทพ (445 ห้อง) และ เดอะ ควอเตอร์ เพลินจิต (129 ห้อง)

ผู้ประกอบการโรงแรมชะลอการเปิดโครงการใหม่ โดยมีโรงแรมสองแห่งเลื่อนการเปิดให้บริการในปี 63 รวมทั้งหมด 413 ห้อง ซึ่งได้แก่ โรงแรม โอเรียนท์ เอ็กซ์เพรส มหานคร (154 ห้อง) และ โรงแรม ชไตเกนเบิร์กเกอร์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ (259 ห้อง) นอกจากนี้แผนการพัฒนาโรงแรมใหม่ในปี 63 ยังถูกเลื่อนออกไปโรงแรมระดับลักชัวรี่กรุงเทพฯ มีจำนวนห้องพักรวมทั้งสิ้น 20,555 ห้อง ณ สิ้นปี 63

- Advertisement -spot_img

More articles

Latest article