นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บลูบิค กรุ๊ป (BBIK) กล่าวว่า การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในภาคธุรกิจจะมีความเข้มข้นมากขึ้นนับจากนี้ การทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันจะต้องทำอย่างต่อเนื่องและลงลึกถึงระดับที่สามารถพลิกโฉมองค์กรเป็น “Digital-First Company” เทรนด์การทำธุรกิจแห่งโลกอนาคต สำหรับองค์กรที่ต้องการอยู่รอดและเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจชะลอตัว ต้องสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างเหมาะสม เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและลดต้นทุนการบริหารงาน รวมถึงรองรับเทรนด์การทำธุรกิจในรูปแบบใหม่บนโลกออนไลน์ ที่กำลังกลายเป็นช่องหลักในการขายและสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่มีอำนาจการซื้อสูงสุดอย่าง Gen M และ Gen Z เพื่อสร้างโอกาสเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคงในระยะยาว
นิยามของ Digital-First Company คือ การคิดใหม่ในทุกแง่มุมของการทำธุรกิจ ครอบคลุมตั้งแต่การใช้เทคโนโลยี กระบวนการดำเนินงาน จนถึงโครงสร้างขององค์กร อย่างไรก็ตามการคิดใหม่นี้มิได้หมายถึงความเปลี่ยนแปลงเสมอไป แต่เป็นการปรับตัวและเลือกใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงหรือวิกฤตต่าง ๆ และสามารถสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ โดย Digital-First Company จะทำให้องค์กรมีความยืดหยุ่น พร้อมปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ สอดรับบริบทของการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ ซึ่งการก้าวเป็น Digital-First Company ต้องอาศัยปัจจัยสนับสนุน ดังต่อไปนี้
1. Digital-First Strategy – การหา Business Model ที่สามารถสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดให้กับธุรกิจ ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และบริการในรูปแบบดิจิทัล
2. Digital-First People – การสร้างทัศนคติ Digital Native Business ให้พนักงาน โดยผู้บริหารจะเป็นผู้กำหนดเป้าหมาย และสร้างแรงกระตุ้นให้พนักงานปรับทัศนคติและยอมรับกระบวนการทำงานรูปแบบดิจิทัล รวมถึงกำหนดเครื่องมือ RWA (Ready, Willing, and Able) ซึ่งเป็นการประเมินความพร้อมและความสามารถในการปรับตัว ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย และแนวทางการพัฒนา Digital Culture ที่แตกต่างกันไปตามแต่ละหน่วยธุรกิจ
3. Digital-First Process – การปรับกระบวนการและระบบงานต่าง ๆ ให้มีความยืดหยุ่นและคล่องตัว ด้วยการทำงานแบบ Agile ที่จะทำให้กระบวนการต่าง ๆ สั้นและใช้เวลาน้อยลง รวมไปถึงสามารถรองรับการเพิ่มขึ้น – ลดลง (Scalability) ของระบบงาน เช่น การใช้ระบบ Cloud Computing เป็นต้น
โดยบลูบิคจะมาเผย 10 Digital-First Capability ซึ่งเป็นเทรนด์ด้านเทคโนโลยีสำคัญที่จะเข้ามาเขย่าโลกการทำธุรกิจ โดยบริษัทฯ มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญทั้ง 10 ด้าน ที่จะช่วยเปลี่ยนผ่านองค์กรเป็น “Digital-First Company”
1. Super App & Digital Onboarding : เป็นเทรนด์เทคโนโลยีที่มาแรงอย่างต่อเนื่อง แต่การจะประสบความสำเร็จนั้นไม่ง่าย เพราะการพัฒนา Super App ต้องมี Core Feature และระบบที่มีความซับซ้อนขั้นสูง รวมถึงองค์ประกอบเกี่ยวกับ Microservice, Data Sharing และ Mini App ที่สำคัญยังต้องอาศัยเงินทุนจำนวนมาก ผนวกกับความเชี่ยวชาญในการพัฒนา เพื่อให้ Super App มีคุณสมบัติรองรับการขยายตัวในอนาคต การเพิ่มขีดความสามารถ ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ เป็นระบบที่ง่ายต่อการดูแลรักษา มีประสิทธิภาพ และโซลูชันที่ต้องอัปเดตให้ตอบโจทย์การใช้งานเสมอ
2. AI-Powered Performance Management : เป็นเทคโนโลยีที่จะเข้ามาแก้ไขและยกระดับการบริหารงานให้ผู้นำองค์กรด้วย Artificial Intelligence – AI ที่มีระบบประมวลผลอัตโนมัติ และสามารถแสดงผลแบบเรียลไทม์ได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้การตัดสินใจทางธุรกิจทำได้อย่างถูกต้องมากขึ้น เช่น การพัฒนาซอฟต์แวร์ Key Performance Indicator – KPI และ Objective & Key Result – OKR ที่สามารถประมวลผลข้อมูลการทำงานได้แบบเรียลไทม์ เพื่อกระตุ้นการทำงานของพนักงานและลดภาระงานให้ผู้บริหาร เป็นต้น
3. Consolidated Data Platform on Cloud : องค์กรจำนวนมากกำลังเผชิญปัญหาการบริหารจัดการปริมาณข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีความหลากหลายทั้งรูปแบบและแหล่งที่มา การนำข้อมูลที่เปรียบเสมือนขุมทรัพย์มาใช้ประโยชน์นั้นต้องมีระบบการจัดเก็บและการเชื่อมต่อข้อมูลเหล่านั้นอย่างถูกต้อง บนระบบที่เหมาะสมและตอบโจทย์การใช้งานได้จริง ดังนั้นการเก็บรวบรวมและเชื่อมต่อข้อมูลบนระบบคลาวด์จึงเป็นอีกเทรนด์เทคโนโลยีมาแรงต่อเนื่อง ที่สามารถเพิ่มหรือลดขนาดการใช้งานตามความต้องการ มีความคล่องตัว และสามารถใช้ข้อมูลหา Insights ของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
4. Predictive AI : เป็นการนำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ของเทคโนโลยี Deep Learning – DL อันชาญฉลาด เช่น การเก็บข้อมูลผ่านเซ็นเซอร์ IoT ของธุรกิจแล้วนำมาวิเคราะห์ด้วย DL เพื่อหา Micro Moment Personalization ของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างถูกต้อง เป็นต้น เป็นการเพิ่มช่องทางสร้างรายได้และความภักดีต่อแบรนด์สินค้า ควบคู่กับการลดต้นทุนทางการตลาด
5. DevSecOps : เป็นสุดยอดแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการพัฒนาระบบและซอฟต์แวร์ ที่ร่นทั้งระยะเวลาและลดปัญหาระหว่างการติดตั้งระบบ (Deployment) อีกทั้งการเพิ่มข้อบังคับหรือขั้นตอนด้านความปลอดภัยร่วมเข้าไปในกระบวนการ DevOps ทำให้ระบบนั้นมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และปลอดภัย สอดรับกับเทรนด์ความกังวลด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เพิ่มมากขึ้น
6. Partnership API & Ecosystem Management : เป็นการเชื่อมต่อระบบขององค์กรกับพันธมิตรทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยี Application Program Interface – API และการบริหารจัดการอีโคซิสเต็มร่วมกัน เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นให้ลูกค้า และยกระดับมาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับองค์กรด้วย โดยหลักสำคัญที่จะทำให้ Partnership API & Ecosystem Management นั้นประสบความสำเร็จ ต้องเริ่มตั้งแต่การวางแผนบริหารจัดการผลตอบแทนของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การเชื่อมต่อที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน การเลือกใช้เทคโนโลยีและเครื่องมืออย่างเหมาะสม และการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์
7. Digital Workforce Management : การใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนและเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ สอดรับกับการทำงานรูปแบบใหม่ เช่น Hybrid Working และ Remote Working รวมถึงรองรับการทำงานระหว่างทีมงานภายในและภายนอกองค์กร (Outsource)
8. Hyper-Scalability Modernization : เป็นการใช้เทคโนโลยีอัปเกรดระบบหรือแอปพลิเคชันเดิมให้สามารถรองรับการใช้งานหรือ Transaction ที่เพิ่มขึ้นในอนาคตได้อย่างราบรื่น ด้วยกรอบการทำงาน Event Driven Nano Service Architecture – EDNA ที่จะทำให้ Maintainability ของแอปพลิเคชันหรือซอฟต์แวร์ทำได้ง่ายขึ้น ลดกระบวนการ Product Development และทำให้แต่ละทีมมีอิสระในการพัฒนาระบบ เพราะ EDNA จะแยกเซอร์วิส ออกจากกันจึงทำให้ระบบมีเสถียรภาพมากขึ้น
9. Cybersecurity & Digital Trust : ระบบหรือซอฟต์แวร์ที่มีเสถียรภาพและมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจยุคดิจิทัล เพราะความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และเสถียรภาพของระบบหรือแอปพลิเคชันมีผลต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อองค์กรและแบรนด์สินค้า ดังนั้น Digital Trust จึงเป็นส่วนสำคัญของการปรับเปลี่ยนองค์กรเป็น Digital-Frist Company
10. Bionic Ops Re-Engineering : เป็นการปรับเปลี่ยนระบบการทำงานด้วยการผสานพลังความสามารถมนุษย์กับกลศาสตร์ (Bio + Mechanics) ให้สามารถทำงานร่วมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการดำเนินงานต่าง ๆ เช่น ซอฟต์แวร์ Robotic Process Automation – RPA ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างหุ่นยนต์มาทำงานในลักษณะซ้ำ ๆ แทนคน หรือแพลตฟอร์ม Low Code ที่ทำให้การเขียนโค้ดง่ายและรวดเร็วขึ้น เป็นต้น
“การเติบโตทางธุรกิจในโลกดิจิทัลต้องปรับเปลี่ยนทั้งกลยุทธ์ โมเดลธุรกิจ และแนวทางการปฏิบัติงานที่สามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน ควบคู่กับสร้างการเติบโตแบบ New S-Curve ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีจึงต้องมีการวางแผนอย่างมีวิสัยทัศน์ และต้องสอดรับกับกลยุทธ์ทางธุรกิจและแนวโน้มเศรษฐกิจ ด้วยเหตุนี้ บลูบิค จึงมุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมเสริมแกร่งด้านบริการที่ครบวงจร เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและความผันผวนที่เกิดขึ้น และเตรียมความพร้อมสำหรับโอกาสการเติบโตในอนาคต” นายพชร กล่าว
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง : บลูบิค กรุ๊ป , BBIK จบรายการบิ๊กล็อต 2 รอบ 3% ปรับโครงสร้างการถือหุ้นรับแผนเพิ่มทุน