นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะยังคงติดลบต่อเนื่องในไตรมาส 4/63 ไปถึงต้นปี 64 ก่อนจะพลิกฟื้นกลับมาเป็นบวกราวในไตรมาส 2/64 แต่คาดว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับคืนมาเหมือนเดิมช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ในราวไตรมาส 3/65 โดยมองว่าการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสถานการณ์โควิดจะต้องปรับจากการปูพรมมาแก้ให้ตรงจุดมากขึ้น
ทั้งนี้ นายเศรษฐพุฒิ คาดว่าเศรษฐกิจไทยทั้งปี 63 จะติดลบราว -7.8% ถึง -8.0%
ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวถึงการบริหารนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนว่า เป็นเรื่องที่ต้องสื่อสารและทำความเข้าใจ เนื่องจากการเคลื่อนไหวของค่าเงินไปในทิศทางใดนั้น ย่อมมีทั้งผู้ได้รับผลประโยชน์ และได้รับผลกระทบ ดังนั้น การตัดสินใจเรื่องการบริหารนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนจะต้องดูถึงสาเหตุและปัจจัยรอบด้าน เนื่องจากปัจจัยที่มีผลต่อค่าเงินมีทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ ซึ่งจากข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี พบว่าการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท 85% มีผลมาจากปัจจัยของทิศทางค่าเงินสกุลหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินสกุลหลักในภูมิภาค โดยมีเพียง 15% เท่านั้นที่มาจากปัจจัยในประเทศ
อย่างไรก็ดี การที่เงินบาทแข็งค่ากว่าสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ทั้งนี้ พบว่าในต่างประเทศ เช่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ต่างก็มีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงเช่นกัน แต่ค่าเงินก็ไม่ได้แข็งมาก ซึ่งเป็นเพราะมีการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนในลักษณะของ Recycle Flow ที่ทำให้เงินออกไปต่างประเทศมากขึ้น เช่น การลงทุนในต่างประเทศ
ส่วนที่มีการพูดถึงว่านโยบายการเงินมาถึงทางตันในการช่วยดูแลปัญหาเศรษฐกิจของประเทศหรือยังนั้น นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ขณะนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยนอกจากจะอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์แล้ว ยังถือว่าต่ำสุดในภูมิภาคด้วย จึงทำให้มี room ที่จำกัด ดังนั้นเห็นว่าในช่วงนี้บทบาทของมาตรการทางการคลังคงจะต้องเป็นหลักหรือเป็นพระเอกในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่สิ่งที่ ธปท.คำนึงถึงคือจะต้องให้เรื่องของดอกเบี้ย สภาพคล่องทางการเงิน และสภาวะตลาดเงินโดยรวม ต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
สำหรับมาตรการในส่วนที่ ธปท.ดูแลรับผิดชอบที่จะนำออกมาใช้ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจนั้น ผู้ว่าฯธปท. ระบุว่า ต้องใช้เวลาและอยู่ในระหว่างการพิจารณา เพื่อให้มาตรการที่จะออกมานี้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด พร้อมระบุว่าไม่ได้เป็นมาตรการที่เร่งด่วนที่ต้องรีบออกมา
ส่วนปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองจากการชุมนุมขณะนี้ ผู้ว่าฯ ธปท.กล่าวว่า คงจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าจะยืดเยื้อหรือไม่ และสุดท้ายแล้วผลจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ทั้งในแง่ของการบริโภค การลงทุน รวมถึงการท่องเที่ยว