วิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ธุรกิจการค้าและการลงทุนทั่วโลกหยุดชะงัก ส่งผลให้ปริมาณหนี้สินทั่วโลกจ่อพุ่งสูงขึ้นถึง 277 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้
โดยสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (IIF) ระบุว่า การคาดการณ์ถึงปริมาณหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นจนทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งนี้ เป็นผลพวงมาจากการที่รัฐบาลและบรรดาธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องควักเงินออกมาใช้จ่ายเพื่อรับมือกับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19
รายงานของ IIF ระบุว่า หนี้โดยรวมของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 432% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศโลก หรือจีดีพีโลก จากเดิมซึ่งอยู่ที่ระดับ 380% ของช่วงเดียวกันในปี 2019
ส่วนหนี้ของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาได้เพิ่มขึ้นแตะระดับ 250% ของจีดีพีโลก
ทั้งนี้ ระดับหนี้ของสองชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างจีนกับสหรัฐฯ ถือได้ว่าปรับเพิ่มขึ้นในปริมาณมหาศาลเข่นกัน
โดยหนี้ของจีนในขณะนี้มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นจาก 335% มาอยู่ที่ 365% ในช่วงสิ้นปีนี้ ขณะที่สหรัฐฯ นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีปริมาณหนี้ถึง 80 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 71 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
รายงานระบุอีกว่า ท่ามกลางประเทศกำลังพัฒนา เลบานอน จีน มาเลเซีย และตุรกี ถือเป็นชาติที่มีสัดส่วนหนี้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาคการเงินเพิ่มขึ้นมากที่สุด
ด้าน โฆษกของทาง IIF กล่าวว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เกิดความไม่นแน่นอนอย่างมีนัยสำคัญกับเศรษฐกิจโลกในอนาคต โดยเฉพาะประเทศตลาดเกิดใหม่ซึ่งมีแนวโน้มต้องแบกรับภาระหนี้รุนแรงสาหัสมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เนื่องจากระดับหนี้สูงขึ้นสวนทางกับรายได้ที่ลดลง จนเป็นภาระต่อการชำระหนี้ของประเทศในกลุ่มตลาดเกิดขึ้น
ก่อนหน้านี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ออกมาคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ว่าจะหดตัว 4.4% ก่อนที่จะสามารถขยายตัวได้ 5.2% ในปีหน้า
ที่มา Channel News Asia